3 ปัจจัยหนุนสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์

แนวคิดของการ “ทำงาน 4 วัน/หยุด 3 วัน/สัปดาห์” กำลังอยู่ในกระแสที่หลายองค์กรเริ่มหยิบมาเป็นประเด็นพูดคุยกันมากขึ้น ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงก็เริ่มมีให้เห็นกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไมโครซอฟท์ประเทศญี่ปุ่น หรือสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นอย่าง Bolt ที่ก้าวข้ามเฟส pilot test และประกาศใช้จริงเป็นการถาวรเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา⁣⁣
⁣⁣
แต่ก่อนที่เราจะไปร่วมกันหาคำตอบว่าสูตร “ทำ 4 หยุด 3” นี้มีโอกาสเกิด mass adoption ได้มากน้อยเพียงใด คงจะดีไม่น้อยหากเราเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่ใกล้ตัวกว่านั้นว่า แล้วสูตรทำ 5 หยุด 2 หรือ 40-hour work week ที่เราอยู่กับมันในปัจจุบันนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร เพราะการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์อาจจะทำให้เราเข้าใจอนาคตได้ดีมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้ครับ⁣⁣
⁣⁣
================⁣⁣
⁣⁣
ย้อนไปในช่วงศตรวรรษที่ 18 ต่อศตรวรรษที่ 19 ยุคนั้นคือการเปลี่ยนผ่านจากการทำเกษตรและงานฝีมือสู่ยุคปฎิวัติอุตสาหกรรมหรือการทำงานในโรงงาน แรงงานส่วนมากในตอนนั้นมีช่วงเวลาการทำงานอยู่ที่ราว ๆ 80-100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (ทำงานวันละ 16 ชั่วโมงหกวันต่อสัปดาห์) ⁣⁣
⁣⁣
ชั่วโมงการทำงานที่มากขนาดนั้น เดิมทีไม่เป็นที่พึงพอใจในกลุ่มแรงงานอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมจากไร่นามาสู่โรงงานก็ยิ่งส่งผลต่อสุขภาพและความอ่อนล้าของแรงงานเป็นอย่างมาก จนกระทั่งในปี คศ. 1817 ตัวแทนสหภาพแรงงานอย่างนาย Robert Owen ได้เรียกร้องอย่างเป็นทางการครั้งแรกเพื่อขอปฎิรูปชั่วโมงการทำงานใหม่ โดยแนวคิดของเขานั้นเรียบง่าย คือในหนึ่งวันควรถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนอย่างเท่า ๆ กัน ได้แก่ ทำงาน 8 ชั่วโมง พักผ่อนตามอัธยาศัย 8 ชั่วโมง และนอนหลับ 8 ชั่วโมง นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิดการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 205 ปีก่อน⁣⁣
⁣⁣
อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ล้วนไม่ง่ายและใช้เวลา มีการรณรงค์เพื่อขอบังคับใช้เป็นกฎหมายหลายต่อหลายครั้งตลอดระยะเวลากว่า 100 ปีต่อมา แต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญขึ้นในปี 1926 เมื่อ Henry Ford ได้ประกาศบังคับใช้กฎการทำงานภายในบริษัท Ford Motors ที่เรียกว่า 40-hour work week หรือการทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ห้าวันต่อสัปดาห์เป็นครั้งแรกของภาคเอกชน (ตลอดช่วงระยะเวลาของการรณรงค์ มีหน่วยงานราชการบางส่วนบังคับใช้กฎการทำงานวันละ 8 ชั่วโมงบ้างแล้ว) โดยในแถลงการณ์มีใจความสำคัญที่สร้างแรงกระเพื่อมต่อการเปลี่ยนแปลงชั่วโมงการทำงานนี้ไปทั่วโลกว่า⁣⁣
⁣⁣
“มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องโยนความเชื่อเดิม ๆ ทิ้งไป ความเชื่อที่ว่าเวลาว่างจากการทำงานของแรงงาน คือ เวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และเวลาพักผ่อนควรถูกสงวนไว้สำหรับชนชั้นที่สูงกว่าเท่านั้น”⁣⁣
⁣⁣
จนกระทั่งในปี 1940 หรืออีก 14 ปีต่อมา สภาคอนเกรสได้ออกกฎหมายที่มีชื่อว่า The Fair Labor Standards Act ที่ทำให้การทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ถูกรับรองและบังคับใช้อย่างเป็นทางการ และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั่วโลกก็คุ้นเคยกับการทำงานแบบนี้มาจวบจนถึงปัจจุบัน จากปี 1940 ถึงปี 2022 นับเป็นเวลา 82 ปีแล้วที่ชั่วโมงและวันทำงานไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไหร่เลย จึงเริ่มเกิดคำถามว่า 82 ปีที่ผ่านมากับวิวัฒนาการของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ การทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ยังเหมาะสมอยู่หรือไม่?⁣⁣
⁣⁣
=================⁣⁣
⁣⁣
ชัดเจนว่าถนนทุกสายปูทางมาสู่คำตอบที่ว่าชั่วโมงการทำงานควรจะน้อยลง โดยมีสามปัจจัยหลักที่สนับสนุนแนวคิดนี้ ได้แก่⁣⁣
⁣⁣
🔰 1) เทคโนโลยี ⁣⁣
⁣⁣
ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ได้ก่อให้เกิดนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย ซึ่งความก้าวหน้าใด ๆ ในโลกล้วนเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่เดิมหรือเพิ่มประสิทธิภาพให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เหมือนเป็นการซื้อเวลาซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของมนุษย์ และเมื่อเทคโนโลยีของมนุษยชาติได้เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดขนาดนี้โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีหลัง ทำไมเราจึงยังมีชั่วโมงการทำงานที่เท่าเดิม?⁣⁣
⁣⁣
⁣⁣
🔰 2) วิวัฒนาการของทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาตนเอง⁣⁣
⁣⁣
เดิมทีเราเคยเชื่อว่า productivity แปรผันตรงกับเวลา ยิ่งใช้เวลามาก productivity ก็ยิ่งมาก แต่แนวคิดนี้ก็ค่อย ๆ ถูกหักล้างไปเรื่อย ๆ ด้วยงานวิจัยใหม่ ๆ ในแต่ละปี ที่นำเสนอบทสรุปตรงกันว่าแท้จริงแล้ว เวลาพักผ่อนที่มากขึ้นต่างหากที่ทำให้เรา sprint งานต่าง ๆ ในกรอบเวลาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยังไม่รวมถึงทฤษฎีและหลักปฎิบัติใหม่ ๆ ในการพัฒนาตนเองที่สอนให้เราทำงานให้ฉลาดขึ้น⁣⁣
⁣⁣
⁣⁣
🔰 3) โจทย์ชีวิตที่ท้าทายกว่าเดิม⁣⁣
⁣⁣
แม้เทคโนโลยีรอบตัวจะถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สภาพเศรษฐกิจและสังคมอาจไม่ได้ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างสอดคล้องกัน เรียกว่าเรามีชีวิตที่ดีขึ้นเป็นเรื่อง ๆ ไปมากกว่า แต่โดยรวมเราอาจมีโจทย์ชีวิตที่ยากขึ้น ซึ่งอาจมีผลมาจากผลกระทบของโรคระบาดก็ดี การบริหารงานของรัฐบาลก็ดี ความเหลื่อมล้ำก็ดี หรือสงครามการค้าก็ดี ทั้งหมดนี้ล้วนผลักดันให้คนทำงานในปัจจุบันต้องกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงด้วยการหารายได้มากกว่าหนึ่งทาง การมีวันหยุดมากถึง 3 วันต่อสัปดาห์เป็น game changer สำหรับหลาย ๆ คนให้ได้มีเวลาไปทำในสิ่งที่รักหรือหารายได้พิเศษอื่น ๆ⁣⁣
⁣⁣
===============⁣⁣
⁣⁣
โดยสรุป เราจะเห็นว่ามีปัจจัยหนุนที่มีน้ำหนักอยู่เหมือนกันในการจะสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อชั่วโมงการทำงานแบบปัจจุบันที่ดำเนินมากว่าหนึ่งศตวรรษ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนี้ดูจะมีผลประโยชน์เอียงไปทางฝั่งแรงงานอยู่ฝ่ายเดียว ใครบ้างจะไม่ชอบชั่วโมงการทำงานที่ลดลง ได้วันพักผ่อนที่เพิ่มขึ้น แถมได้เงินเดือนเท่าเดิม ไม่มีต้นทุนและความเสี่ยงใด ๆ⁣⁣
⁣⁣
ในทางกลับกัน เป็นฝั่งองค์กรเสียมากกว่าที่ต้องทำการสำรวจและประเมินความเสี่ยง ข้อดี/ข้อเสียอย่างถี่ถ้วน การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตาม หากไม่สามารถชี้ให้เห็นถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อทุกฝ่ายได้ ก็ยากมากในการผลักดันความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง⁣⁣
⁣⁣
ในครั้งต่อไป เราจะมาศึกษา case study จากบริษัท Bolt ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นของอเมริกาที่ผลักดันให้เกิดนโยบายการทำงานสี่วันต่อสัปดาห์ให้เกิดขึ้นจริงแล้ว รวมไปถึงบทบาทของภาครัฐที่อาจมีส่วนสำคัญในการช่วยภาคธุรกิจผลักดันวิถีการทำงานใหม่นี้ให้เกิดขึ้นจริงเป็นวงกว้าง โดยอาจไม่ต้องรอไปอีก 100 ปีเหมือนในอดีตที่ผ่านมาครับ⁣⁣
⁣⁣
⁣⁣
A Cup of Culture⁣⁣⁣⁣⁣⁣⁣⁣
———–⁣⁣⁣⁣⁣⁣⁣⁣
วัฒนธรรมองค์กร
Corporate culture⁣⁣⁣⁣⁣⁣
Organizational culture
.
.
>>>

Source:
https://www.fastcompany.com/90710084/tech-company-bolt-is-permanently-embracing-a-4-day-workweek?partner=rss&utm_source=rss&utm_medium=feed&utm_campaign=rss+fastcompany&utm_content=rss?cid=search

https://www.cnbc.com/2017/05/03/how-the-8-hour-workday-changed-how-americans-work.html


.
.
>>>

Share to
Related Posts:
Search

The Value Compass full report is ready for download. Thank for interesting in our free tools.

The Value Compass full report is ready for download. Thank for interesting in our free tools.

Search