ทำไมอนาคตของ AI ถึงส่งผลต่ออนาคตการทำงานของเรา?


ในช่วง 1-3 ปีให้หลังมานี้ เทคโนโลยี AI ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวแบบดิจิทัลไปจนถึงอุปกรณ์เครื่องใช้อัจฉริยะต่างๆ รวมทั้งในด้านธุรกิจ เทคโนโลยี AI ก็เข้ามามีบทบาทในหลายด้าน เช่น ด้านการบริการลูกค้า ด้านการขนส่งสินค้า ด้านการตลาด รวมไปถึงด้านการจ้างงาน เป็นต้น …ทำให้คนหลายคนเริ่มรู้สึกกังวลว่า เทคโนโลยี AI  กำลังจะเข้ามาแทนที่งานของเราแล้วใช่ไหม?


บทความจาก The Digital Speaker ได้กล่าวถึง 3 แนวคิดสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตการทำงานต่อจากนี้ ได้แก่ (1) ข้อมูล – DATA (2) การกระจายอำนาจ – DECENTRALISATION และสุดท้าย (3) ระบบอัตโนมัติ – AUTOMATION ดังนั้น อนาคตของการทำงานจึงมากคำว่า “แทนที่” แต่เป็น “โอกาส” และในขณะเดียวกันก็เป็น “ความท้าทาย” สำหรับองค์กร พนักงาน และผู้บริหารที่จะต้องปรับตัวให้ Work Smart มากขึ้น ประยุกต์เอาความฉลาดของ AI มาช่วยให้คุณลงลึกกับงานได้มากขึ้น เห็นรายละเอียดมากขึ้น และเก็บบันทึกข้อมูลสถิติต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจาก Data Driven Investor ที่พูดถึง 7 สิ่งสำคัญที่ AI กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าของการทำงานของเราต่อจากนี้


1. การสรรหา การจัดจ้าง และการรักษา Talents


AI จะเข้ามาปรับปรุงกระบวนการสรรหาและจัดจ้างขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นในด้านการค้นหาโปรไฟล์ของผู้คน วิเคราะห์ประวัติย่อที่ส่งเข้ามา รวมถึงสแกนหารายชื่อของผู้ที่มีโอกาสเป็นตัวจริงขององค์กรได้อย่างรวดเร็วและตรงกับความต้องการได้มากขึ้น


นอกจากนั้น AI ยังสามารถใช้ในการประเมินทักษะ บุคลิกภาพ หรือแม้กระทั่งความแมทซ์ของตัวผู้สมัครกับองค์กร ตัวอย่างเช่น บริษัท Filtered ได้นำ AI เข้ามาช่วยในการประเมินและวิเคราะห์ผู้สมัครงาน ผ่านเทคโนโลยี Facial recognition ที่ช่วยตรวจจับการโกงในขั้นตอนทดสอบความสามารถ เป็นต้น


2. การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร


การทำงานในอนาคต มนุษย์และเครื่องจักรจะทำงานร่วมกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากการวิจัยของ Accenture กล่าวว่า การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรจะสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้มากถึง 38 เปอร์เซ็นต์ และสองในสามของผู้นำในธุรกิจชั้นนำของโลก มองเห็นโอกาสของการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร ที่จะช่วยให้องค์กรบรรลุผลลัพธ์เชิงกลยุทธ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


3. การทำงานแบบ Remote Working ที่ฉลาดมากขึ้น


นอกจาก AI จะสามารถใช้ในการสรรหาจัดจ้างแบบทางไกลได้แล้ว ยังสามารถใช้เพื่อปรับปรุงการทำงานทางไกลได้เช่นกัน ซึ่ง AI สามารถเข้ามามีบทบาทในการดูแลระบบการทำงาน การรายงานผล หรือการประเมินประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานให้กับพนักงานได้ดียิ่งขึ้น


4. เพิ่มประสิทธิภาพสถานที่ทำงาน


โครงสร้างพื้นฐาน เซ็นเซอร์ หรืออุปกรณ์เชื่อมต่ออัจฉริยะต่างๆ จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมสถานที่ทำงานของคุณ ยกตัวอย่างเช่น อาคาร The Edge ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นอาคารอัจฉริยะของโลก ซึ่งความอัฉริยะของอาคารเช่น มีระบบตรวจจับที่ทำให้รู้ว่ามีจำนวนคนอยู่ในอาคารเท่าไหร่ ใครอยู่บ้าง ความชอบของพวกเขาคืออะไร หรือกาแฟอะไรที่พวกเขาชอบดื่ม เป็นต้น


ดังนั้น เทคโนโลยี AI จะเข้ามาทำให้สถานที่ทำงานมีความชาญฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ เซ็นเซอร์อัจฉริยะจะถูกนำเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ การควบคุมแสง การควบคุมห้อง รวมทั้งการจัดการพื้นที่ภายในสถานที่ทำงาน


5. ความเป็นผู้นำและวัฒนธรรมองค์กร


การมาของเทคโนโลยี AI ทำให้ผู้นำต้องกลับมาทบทวนวัฒนธรรมองค์กรของตนเองว่า สนับสนุนความเป็น Data-driven Culture อยู่หรือเปล่า การตัดสินใจต่างๆ ภายในองค์กรเป็นไปโดยอัตโนมัติแล้วหรือยัง หรือพนักงานได้รับการเสริมอำนาจหรือเปล่า เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยี AI จะเริ่มเข้ามามีบทบาทในกระบวนการตัดสินใจขององค์กรเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น แทนที่จะให้ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเป็นคนตัดสินใจเลือกข้อความในการทำ Online Marketing ก็กลายเป็นให้เทคโนโลยี AI เป็นผู้เลือกข้อความทางการตลาดที่ดีที่สุดได้โดยอัตโนมัติ


ดังนั้น วิธีการตัดสินใจแบบดั้งเดิมซึ่งอิงจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของบุคคล จะถูกเปลี่ยนไปสู่ “การตัดสินใจบนฐานของข้อมูล” และเมื่อองค์กรมีการส่งเสริมให้พนักงานมีการเข้าถึงชุดข้อมูลหรือชุดความรู้ได้ด้วยตนเอง อำนาจก็จะถูกกระจายอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น ทำให้พนักงานมีอำนาจในภายในองค์กร ฉะนั้น คำถามที่สำคัญคือ… วัฒนธรรมองค์กรของเราตอนนี้พร้อมแล้วกับหัวข้อนี้หรือยัง?


6. การเพิ่มผลผลิต (Productivity)


เมื่อ AI เข้ามาเสริมการทำงานของมนุษย์ หุ่นยนต์ไม่มีวันป่วย ไม่จำเป็นต้องหยุดพัก และสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้น ก็มีแนวโน้มที่องค์กรที่นำ AI มาใช้ในสายงานการผลิต จะสามารถรีดประสิทธิภาพและรายได้ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ประโยชน์อีกข้อที่สำคัญคือ AI สามารถจัดการกับงานธรรมดาและซ้ำซากจำเจ ในขณะที่มนุษย์สามารถมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อน


7. การฝึกอบรมและการพัฒนา


การฝึกอบรมและการพัฒนาพนักงานภายในองค์กรจะมีความสำคัญมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยี AI จะสามารถเข้ามาวิเคราะห์และเสนอโปรแกรมการฝึกอบรมเฉพาะบุคคลโดยตรงกับทักษะที่ยังขาดอยู่ได้ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Hive Learning ใช้ AI เพื่อช่วยให้พนักงานเรียนรู้ได้ดีขึ้น เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทให้ความสำคัญกับการเรียนรู้แบบ peer-to-peer แบบใช้มือถือเป็นอันดับแรก โดยนำ AI มาช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม


บทสรุป – อนาคตของการทำงานที่จะมีเทคโนโลยี AI เข้ามาเกี่ยวข้องดูจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมได้ในอนาคตอันใกล้นี้  และ AI ก็จะทำงานอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะทั้งรบกวน ขยาย และปรับปรุงกระบวนการทำงานอยู่เสมอ ซึ่งหากเรามองในแง่ของโอกาส ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่คนทำงานจะได้มุ่งโฟกัสไปที่ลูกค้าเป้าหมายได้เพิ่มมากขึ้น


A Cup of Culture
———–
วัฒนธรรมองค์กร
CorporateCulture
OrganizationalCulture
.
.

AI ส่งผลต่ออนาคตการทำงาน
Reference:
https://medium.datadriveninvestor.com/7-ways-how-ai-will-change-your-workplace-12c6cdd332f7
https://www.thedigitalspeaker.com/3-concepts-that-define-future-of-work/
https://www.raconteur.net/technology/ai-changing-work/
https://www.forbes.com/sites/ashleystahl/2021/03/10/how-ai-will-impact-the-future-of-work-and-life/?sh=2de7223a79a3
arm
Share to
Facebook
Twitter
LinkedIn
Search

The Value Compass full report is ready for download. Thank for interesting in our free tools.

The Value Compass full report is ready for download. Thank for interesting in our free tools.

Search