“หลักคิด” “หลักการ” หรือ “Principle” ไม่ได้มีความหมายที่ยุ่งยากหรือเกี่ยวข้องอะไรกับทฤษฎีที่ซับซ้อน แต่คือ “หลักยึดบางอย่าง” ที่เราให้คุณค่า ให้ความสำคัญ หรือให้ความหมายกับชีวิตของเราบางอย่าง ซึ่งหลักคิดจะเป็นตัวกลางสำคัญในการเชื่อมโยงความคิดเราไปสู่การตัดสินการกระทำบางสิ่งบางอย่างด้วย
คุณ Lisa McCarthy ซึ่งเป็น CEO และคุณ Wendy Leshgold ซึ่งทั้งสองเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Fast Forward Group บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการฝึกอบรม เทรนนิ่ง รวมทั้ง executive coaching ให้กับองค์กรมากมายทั่วโลก ได้กล่าวถึงปัญหาของบริษัทหรือองค์กร ที่คนในทีมไม่มี “หลักคิด” “หลักการ” หรือ “Principle” มาทำงานร่วมกันย่อมนำพาไปสู่ปัญหา ความไม่เข้าใจ และความขัดแย้งกันได้ง่าย
ซึ่งคำว่า “Principle” อาจเปรียบได้เหมือนการที่องค์กรมี “Culture” ที่ตั้งใจออกแบบ ชัดเจนในแนวทางปฏบัติ และเป็นตัวกำหนดทิศทางความคิดและการกระทำของคนในทีมได้ ดังนั้น การมีหลักคิดในการใช้ชีวิตและการทำงานจึงสำคัญ ซึ่ง A Cup of Culture ได้รวบรวม 5 หลักคิดออกแบบชีวิตและการทำงาน (ก่อนเริ่มปีใหม่) ไว้ดังนี้
1) ชัดเจนว่าชีวิตที่คุณต้องการมีหน้าตาอย่างไร
คุณจะสร้างชีวิตที่คุณต้องการได้อย่างไรในเมื่อคุณยังไม่รู้เลยว่ามันจะหน้าตาเป็นอย่างไร? ดังนั้น การกระตุ้นทีมงานด้วยการตั้งคำถาม เช่น ความสำเร็จในงานของคุณมีลักษณะหน้าตาอย่างไร? ความสำเร็จอะไรทั้งในด้านอาชีพและส่วนตัวของคุณเป็นอย่างไร? อะไรที่จะช่วยให้คุณเติบโตได้มากกว่านี้? เป็นต้น
ขณะที่ทีมงานเขียนคำตอบ ควรระบุให้ชัดเจน เฉพาะเจาะจง รวมทั้งอธิบายรายละเอียดของผลลัพธ์ และความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณได้รับสิ่งนี้ *สิ่งสำคัญในการเขียนข้อนี้คืออย่าปล่อยให้ความเชื่อที่จำกัดเกี่ยวกับตัวคุณและความเชื่อว่าเป็นไปได้มาฉุดรั้ง
2) ควบคุมคำพูดที่คุณมักพูดกับตัวเอง
คำพูดเช่น “ฉันไม่เก่งฉันไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จที่นี่” หรือ “เจ้านายไม่ชอบฉันแน่นอน” คำพูดทำนองนี้ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ทางบวกอะไรกับตัวเองเลย นอกจากความเครียด วิตกกังวล และความไม่สบายใจ ดังนั้น ขั้นตอนแรกคือ คุณต้อง “เห็นหรือตระหนัก” วิธีที่คุณพูดกับตัวเองก่อน ว่ามันนำพาไปสู่ผลลัพธ์ทางบวกหรือทางลบกันแน่ ขั้นสองเขียนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นออกมา (ห้ามใช้อคติส่วนตน) และสุดท้ายสร้างมุมมองหรือทางเลือกเชิงบวกขึ้นมาใหม่
3) ลงมือทำทันที
แรงจูงใจในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะมีมากที่สุดตอนที่ “คุณรู้สึกอยากทำ” ตัวอย่างเช่น วินาทีที่คุณตัดสินใจซื้อหนังสือก็เพราะคุณอยากอ่านหนังสือ แต่หากซื้อมาแล้วคุณไม่เคยหยิบออกมาจากถุงเลย ความรู้สึกอยากอ่านจะเริ่มหายไป… ดังนั้น เมื่อเกิดแรงจูงใจจะทำบางสิ่งบางอย่าง ขอให้เริ่มลงมือทำทันที เพื่อรักษาแรงจูงใจนี้ไว้
4) มุ่งสื่อสารไปที่การกระทำและผลลัพธ์
หากคุณต้องการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์และเป้าหมายของทีมงาน จงใช้เวลาในการเตรียมการสื่อสารให้มากขึ้น.. คุณควรชัดเจนว่า การสื่อสารนี้ผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไร? เมื่อพูดจบแล้ว ผู้ฟังจะเชื่อ รู้สึก และทำอะไร? คุณจะให้คำแนะนำหรือขออะไรที่เฉพาะเจาะจงบ้าง? การคัดค้านหรือข้อกังวลอะไรบ้างทีมอาจเกิดขึ้น และคุณจะจัดการกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร? และสุดท้ายคุณจะปิดหรือจบการสนทนาอย่างไรเพื่อให้ทุกคนมีความชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินการต่อไป…
5) พูดให้น้อย ฟังและตั้งคำถามให้มากขึ้น
default mode ของชีวิตมนุษย์คือ Hearing ไม่ใช่ Listening แบบตั้งใจฟัง หรือหากตั้งใจฟังเราก็จะฟังผ่านตัวกรองคือ ประสบการณ์เดิมของเราเอง จึงอาจทำให้เราพลาดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจที่ลึกซึ้งกับทีมงานได้ ดังนั้น การพูดให้น้อย ฟังและตั้งคำถามให้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ทีมงานได้เจาะลึกและค้นหาคำตอบด้วยตนเองให้มากขึ้น พวกเขาก็จะมีแนวโน้มที่จะรู้สึกอยากทำและเป็นเจ้าของในงานเพิ่มมากขึ้น.
บทสรุป —เราทุกคนมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง หลักการทั้งห้าข้อนี้เป็นตัวช่วยให้คุณมีความชัดเจนมากขึ้น เป็นขั้นเป็นตอน และวางแผนในการดำเนินการ จึงเป็นโอกาสที่ดีมากในช่วงต้นปีที่ทีมจะได้มากำหนด “หลักคิด” หรือ “หลักการ” ร่วมกัน
A Cup of Culture
———–
วัฒนธรรมองค์กร
CorporateCulture
OrganizationalCulture
.
.