ไม่ว่าคุณจะเป็นเด็กจบใหม่ที่กำลังสมัครงานเป็นครั้งแรก เป็นคนทำงานคนหนึ่งที่กำลังคิดจะหางานใหม่ หรือเป็นใครก็ตามที่กำลังจะกดส่ง resume ไปให้กับ HR ขอให้อดใจรออีกสักนิดแล้วอ่านบทความนี้ให้จบก่อนนะครับ พวกเราทุกคน เมื่อพิจารณาดูแล้วหากไม่ใช่ cream ของมหาวิทยาลัยหรือองค์กร ทั้งยังไม่ได้มีทักษะบางอย่างที่ตลาดพร้อมเกทับข้อเสนอกันไปมาเพื่อทุ่มสุดตัวในการคว้าตัวมาให้ได้ พูดอีกนัยหนึ่งคือหากเราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มค่าเฉลี่ย (average) ทั่วไป ต้องเรียนตามตรงว่าเราทุกคนกำลังอยู่ในสมรภูมิการสมัครงานที่ดุเดือดเอาเรื่อง ⁣⁣
⁣⁣
หากลองเปิด LinkedIn เข้าไปดูประกาศรับสมัครงานที่ท่านตั้งค่าว่าสนใจเอาไว้ ก็จะพบว่าตำแหน่งส่วนมากนั้นมีผู้สมัครเข้ามากว่าครึ่งร้อยภายในระยะเวลาเพียง 1-2 วัน หากเป็นองค์กรที่มี employer branding ดีหน่อยก็ทะลุหลักร้อยเอาได้ง่าย ๆ คำถามคือ เราจะคว้าโอกาสเป็นหนึ่งเดียวหรือกลุ่มหยิบมือเดียวจากผู้ร่วมชะตากรรมหลายสิบหลายร้อยได้อย่างไร? ⁣⁣
⁣⁣
ซึ่งถ้าจะให้พูดกันถึงเทคนิคทุกขั้นตอน คงไม่สามารถจบในตอนเดียวได้แน่ เพราะมีทั้งเรื่องการเขียน resume การเตรียมตัวตอบคำถาม การแต่งตัว บุคลิกภาพและอื่น ๆ ดังนั้นในตอนนี้เราจะมาเจาะกันที่เรื่องเดียว คือ การเขียน cover letter ซึ่งเปรียบเสมือนประตูด่านแรกที่จะช่วยสร้างโอกาสให้อย่างน้อย ๆ พาเราเข้าไปสู่รอบสัมภาษณ์ก่อน เมื่อคว้าโอกาสมาได้แล้วก็ค่อยว่ากันอีกที ⁣⁣
⁣⁣
เชื่อหรือไม่ว่าจากผู้สมัครหลายสิบหลายร้อยที่พร้อมใจกันกดสมัครงานและส่ง resume เข้าไปพร้อมกัน มีเพียงไม่ถึง 10% หรือลดฮวบเหลือหลักหน่วยเท่านั้นที่จะถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์จริง ๆ ดังนั้นโอกาสที่ว่านี้ หากได้มาก่อนอาจหมายถึงการแหย่ขาข้างนึงเข้าเส้นชัยเลยก็ได้ ผู้ที่มีประสบการณ์หว่าน resume เป็นร้อย ๆ แห่งก็อาจจะถึงบางอ้อเอาตอนนี้ ว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะเราไม่ได้เขียน cover letter นั่นเอง!⁣⁣
⁣⁣
สาเหตุที่คนส่วนใหญ่มองข้าม cover letter ก็เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ HR ระบุเป็น requirement ว่าคือเอกสารจำเป็นที่ต้องส่ง โดยกว่า 90% ของประกาศรับสมัครงานระบุไว้เพียงแค่ resume เท่านั้น แต่สิ่งที่ HR เองบางครั้งก็อาจจะมองข้ามและไม่เห็นถึงความจำเป็นนี่แหละ เมื่อได้รับเข้าจริง ๆ กลับสร้าง wow moment และข้อได้เปรียบสำคัญให้กับเรา ทั้งแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ และความเอาจริงเอาจังในการอยากได้งาน สำคัญที่สุดคือเป็นการสร้างโอกาสขึ้นมาด้วยมือเราเองในการสาธยายถึงอนาคตที่เราและบริษัทอาจมีร่วมกัน โดยไม่ต้องรอ HR มอบโอกาสนั้นให้ ซึ่งเราอาจไม่มีวันได้รับมันก็เป็นได้ ⁣⁣
⁣⁣
มาถึงตรงนี้ หากสิ่งที่กล่าวมาทำให้ท่านรู้สึกคันไม้คันมืออยากเขียน cover letter ดี ๆ ขึ้นมาสักฉบับแล้ว เรามาดูเทคนิคการเขียนที่ดีไปพร้อม ๆ กันเลยครับ⁣⁣
⁣⁣
:::::::::::::⁣⁣
⁣⁣
🔸 1. ศึกษาข้อมูลองค์กรและตำแหน่งที่สมัครให้ละเอียด⁣⁣
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ไม่เพียงแต่ข้อมูลองค์กรที่หาได้ทั่วไปตามเว็บไซต์ หากแต่รวมถึงมิติอื่น ๆ ที่อาจสร้างข้อได้เปรียบในการเขียน หรือเมื่อถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ เช่น ทวีตเตอร์ของ CEO พูดเกี่ยวกับเรื่องอะไร โปรไฟล์ LinkedIn ของพนักงานองค์กรแชร์เกี่ยวกับเรื่องอะไร เป็นต้น⁣⁣
⁣⁣
🔸 2. มุ่งเน้นการฉายภาพอนาคต⁣⁣
จำให้ขึ้นใจว่า Resume ฉายภาพอดีตมาถึงปัจจุบัน ในขณะที่ cover letter ฉายภาพปัจจุบันและอนาคตที่เรา⁣⁣
และบริษัทจะมีร่วมกัน เอาจริง ๆ ก็คือการเขียนคำตอบที่เก็งว่าอาจจะถูกถามเมื่อได้สัมภาษณ์มาชิงเขียนก่อน⁣⁣
เลย เช่น มองอนาคตของตนเองกับบริษัทว่าอย่างไร มุ่งส่งมอบคุณค่าอะไร หรือมีจุดแข็งได้ที่สามารถเติมเต็ม ⁣⁣
ให้องค์กรดีขึ้นได้⁣⁣
⁣⁣
🔸 3. เปิดประโยคแรก ๆ ให้มัดใจ⁣⁣
เมื่อเขียนแนะนำตัวสั้น ๆ เสร็จก็ปล่อยหมัดฮุคเลยว่าทำไมเราถึงสนใจงานนี้ และเรามีข้อเสนออะไรมาวางบนโต๊ะให้องค์กรรับไว้ เหตุผลต่าง ๆ นานาเพื่อสาวความยืดค่อยตามมาทีหลัง⁣⁣
⁣⁣
🔸 4. เขียนคุณค่าที่เราจะส่งมอบ⁣⁣
เมื่อศึกษาข้อมูลมากพอจนรู้จักองค์กรประมาณนึงแล้ว เราน่าจะพอเห็นช่องโหว่บางอย่างที่องค์กรพยายามจะอุดหรือก้าวข้ามไปให้ได้ ขอให้นำเสนอข้อดีของการเลือกเราที่จะเปรียบดั่งกาวตราช้างสมานรอยรั่วนี้ให้สนิท⁣⁣
⁣⁣
🔸 5. แสดงออกถึงความกระตือรือร้น⁣⁣
แต่ละคนก็อาจมีวิธีในการแสดงออกซึ่งความกระหายที่จะได้งานต่างกันไป สำหรับผมเมื่อราว ๆ ปีที่แล้วเขียนข้อความส่วนหนึ่งใน cover letter ใจความว่า พร้อมลาออกจากหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่และมั่นคงที่สุดในประเทศไทยมาร่วมหัวจมท้ายกับสตาร์ทอัพแห่งนี้ แม้ออกจะดูบ้าบิ่นไปหน่อยและจบไม่สวยในท้ายที่สุด แต่ ณ ตอนนั้นก็แสดงออกถึงความอยากได้งานได้เป็นอย่างดี แล้วก็ได้ในที่สุด ดีกรีความแสดงออกอาจแปรผันไปตามลักษณะของบริษัทนั้น ๆ ด้วย⁣⁣
⁣⁣
🔸 6. คุมโทนการเขียนให้เป็นมืออาชีพ⁣⁣
ในการเขียนจดหมาย ไม่ควรมุ่งเขียนเพื่อยกยอปอปั้นองค์กรมากเกินไปจนเลี่ยน การแสดงออกซึ่งความจริงใจให้ผู้อื่นสัมผัสได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด⁣⁣
⁣⁣
🔸 7. เขียนให้กระชับเข้าไว้⁣⁣
Cover letter ที่ดีควรมีความยาวไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ A4 โดยทั่วไปก็คุมการเขียนให้จบใน 3-4 ย่อหน้าเท่านั้น มิเช่นนั้นก็อาจกลายเป็นกระดาษอีก 1 แผ่นที่ HR โยนทิ้ง⁣⁣
⁣⁣
🔸 8. ขอความคิดเห็นจากคนรอบข้าง⁣⁣
มีสองประเด็นสำคัญที่เราควรถามเพื่อขอความคิดเห็นจากคนอื่น อย่างแรกคือ ผู้อ่านจับใจความสำคัญที่เราจะสื่อ ตลอดจนเห็นดีเห็นงามกับการร้อยเรียงเรื่องราวของเราหรือไม่ อย่างที่สองคือ มีความรู้สึกว่าอะไรล้นหรือขาดหรือไม่ เช่น นำเสนอข้อดีของตัวเองมากจนเกินไป ชนิดที่เรียกว่า oversell หรือดูมั่นใจจนเกินเหตุ เป็นต้น⁣⁣
⁣⁣
:::::::::::::::⁣⁣
⁣⁣
และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวของ cover letter ว่าด้วยจดหมายหนึ่งฉบับที่ผู้สมัครงานส่วนใหญ่มองข้ามกันไปหมดแล้ว แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด เราหลาย ๆ คนอาจมี resume ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ทุ่มเทเวลาให้กับการซ้อมตอบคำถามมากที่สุด แต่จะมีประโยชน์อะไรหากโอกาสนั้นไม่ตกมาถึงเลย ดังนั้นหากในวันนี้รู้สึกว่าเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแล้ว ก็ขอให้พยายามเพิ่มขึ้นอีกนิด เขียน cover letter ขึ้นมาสักหนึ่งฉบับเพื่อส่งไปพร้อมกับ resume แล้วไม่แน่ว่านี่อาจเป็น game changer สำคัญที่เราต้องย้อนกลับมาขอบคุณตัวเองทีหลังก็เป็นได้⁣⁣
⁣⁣
A Cup of Culture⁣⁣
———–⁣⁣
วัฒนธรรมองค์กร⁣⁣
Corporate culture⁣⁣
Organizational culture⁣⁣
⁣⁣.
.

Resources:
https://hbr.org/2014/02/how-to-write-a-cover-letter?ab=at_art_art_1x4_s03
Share to
Facebook
Twitter
LinkedIn
Search

The Value Compass full report is ready for download. Thank for interesting in our free tools.

The Value Compass full report is ready for download. Thank for interesting in our free tools.

Search