“คุณเคยเผชิญกับคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วน หรือต้องการข้อมูลเพื่อการตัดสินใจอย่างรวดเร็วบ้างไหมครับ?” ผมเชื่อว่าไม่มากก็น้อยเราทุกคนล้วนเคยเผชิญสถานการณ์นี้ด้วยตนเอง
แต่การมาแชตบอตปัญญาประดิษฐ์ ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT, Gemini, Copilot หรือ Claude และอีกมากมาย ช่วยให้ปัญหาข้างต้นลดลงไปได้มาก ยิ่งในบริบทของการทำงาน เครื่องมือเหล่านี้เปรียบเสมือนผู้ช่วยเสมือนจริงที่สามารถตอบคำถามได้หลากหลาย ลงลึก และให้ไอเดียต่อยอดมากมาย
คำถามที่ผมสนใจคือ การมีเครื่องมือเหล่านี้ช่วยเราทำงาน แปลว่าเราไม่ต้องพึ่งพาหัวหน้างานอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่…? วันนี้เพจ A Cup of Culture อย่างชวนคุณผู้อ่านมาร่วมกันอภิปรายว่า “เมื่อไหร่ควรใช้เครื่องมือ AI และเมื่อไหร่ควรปรึกษาหัวหน้างาน…?”
บทบาทของ ChatGPT ในที่ทำงาน
ChatGPT ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในงานที่หลากหลาย ตั้งแต่การตอบคำถามเชิงข้อเท็จจริง ไปจนถึงการสร้างไอเดียใหม่ การร่างเอกสาร หรือแม้แต่การอธิบายแนวคิดที่ซับซ้อน จุดแข็งหลักของมันคือ การให้การสนับสนุนที่รวดเร็ว ตามที่เราต้องการ (ตาม prompt ที่เราป้อนลงไป) ไม่ขัดจังหวะการทำงาน หรือไม่ต้องรอการตอบสนองจากมนุษย์
แต่อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของมันจะสูงสุดเมื่อใช้กับประเภทของคำถามที่เหมาะสม
เมื่อไหร่ควรถาม ChatGPT:
- ความรู้ทั่วไปและการค้นหาข้อมูล: ลองนึกภาพว่าคุณกำลังทำรายงานการตลาดและต้องการเข้าใจพื้นฐานของเทรนด์ใหม่ เช่น การเพิ่มขึ้นของ AI ในการบริการลูกค้า แทนที่จะค้นหาผ่านหลายเว็บไซต์หรือรบกวนเวลาของหัวหน้างาน คุณสามารถถาม ChatGPT ให้สรุปประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้คุณรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้โดยไม่ล่าช้า ช่วยให้คุณทำงานได้ตรงตามกำหนดเวลา
- ความช่วยเหลือด่วนและการสร้างไอเดีย: บ้างครั้งการระดมสมองหากไอเดียของทีมจะรู้สึกติดขัด หรือคิดไม่ออกบ้าง แต่ปัญหานี้จะหมดไปทันทีเมื่อคุณขอคำแนะนำจาก ChatGPT เกี่ยวกับธีมการนำเสนอที่สร้างสรรค์หรือวิธีการจัดโครงสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและกระตุ้นกระบวนการสร้างสรรค์ รวมทั้งการต่อยอดไอเดีย
- การเรียนรู้และพัฒนาทักษะ: สมมติว่าคุณกำลังพยายามเรียนรู้ภาษาโปรแกรมมิ่งใหม่สำหรับโครงการที่กำลังจะมาถึง คุณสามารถขอแบบฝึกหัดการเขียนโค้ดหรือคำอธิบายเกี่ยวกับฟังก์ชันเฉพาะจาก ChatGPT โดยไม่ต้องรอการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ
- การหลีกเลี่ยงการรบกวน: ลองนึกภาพสถานการณ์ที่คุณกำลังอยู่ในระหว่างงานที่มีกำหนดเวลาเร่งด่วน แต่คุณดันลืมวิธีสรุปข้อมูลจากซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งที่คุณแทบไม่ได้ใช้ แทนที่คุณจะต้องติดต่อไปหาหัวหน้างาน คุณแค่พิมพ์คำสั่งเข้าไปใน ChatGPT คุณจะได้คำตอบอย่างรวดเร็ว ช่วยให้คุณสามารถทำงานต่อไปได้โดยไม่ถูกรบกวน วิธีนี้ไม่เพียงแต่ประหยัดเวลา แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถของคุณในการแก้ปัญหาเล็กน้อยได้ด้วยตนเอง
บทบาทของการปรึกษาหัวหน้างาน?
แม้ว่า ChatGPT จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่การปรึกษาหัวหน้างานเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หัวหน้างานไม่เพียงแต่ให้คำตอบ แต่ยังให้บริบท ประสบการณ์ และมุมมองเชิงกลยุทธ์ที่ AI ไม่สามารถทำแทนได้ นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมกับหัวหน้างานในประเด็นเฉพาะยังช่วยส่งเสริมการสื่อสาร การปรับแนวทาง และความไว้วางใจภายในทีมที่ดีขึ้น
เมื่อไหร่ควรถามหัวหน้างาน:
- ข้อมูลเฉพาะของบริษัท: สมมติว่าคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับวิธีจัดการกับข้อร้องเรียนของลูกค้าหรือวิธีสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจได้โดยง่าย นี่คือสถานการณ์ที่ความรู้เฉพาะของบริษัทมีความสำคัญอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น สมาชิกใหม่ในทีมเคยขอคำอธิบายจากหัวหน้างานเกี่ยวกับวิธีจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ซับซ้อน ซึ่งไม่เพียงได้รับข้อมูลที่จำเป็น แต่ยังได้รับบริบทที่มีค่าเกี่ยวกับประวัติและความคาดหวังของลูกค้า ความเข้าใจที่ลึกซึ้งนี้สามารถมาจากคนที่มีประสบการณ์ตรงภายในบริษัทเท่านั้น
- เรื่องที่ละเอียดอ่อนหรือเชิงกลยุทธ์: ลองนึกภาพว่าคุณกำลังปวดหัวกับทิศทางของโครงการเนื่องจากความท้าทายที่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว การหารือเรื่องนี้กับหัวหน้างานมีความสำคัญมากเพราะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และอาจมีผลกระทบในวงกว้างต่อทีมหรือบริษัท ตัวอย่างเช่น หัวหน้างานอาจมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลำดับความสำคัญ วิธีสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้แน่ใจว่าการตอบสนองสอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กร
- ข้อเสนอแนะด้านประสิทธิภาพและคำแนะนำด้านอาชีพ: สมมติว่าคุณเพิ่งเสร็จสิ้นโครงการใหญ่และต้องการทราบว่าคุณทำงานได้ดีแค่ไหนและอะไรที่คุณสามารถปรับปรุงได้ นี่เป็นเวลาที่ควรขอข้อเสนอแนะจากหัวหน้างาน ในกรณีหนึ่ง พนักงานขอคำแนะนำจากหัวหน้างานหลังจากนำทีมในโครงการที่ซับซ้อนเป็นครั้งแรก ข้อเสนอแนะที่ได้รับไม่ได้เกี่ยวกับประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีรับมือกับความท้าทายในการเป็นผู้นำ ซึ่งในที่สุดก็มีส่วนช่วยในการเติบโตทางวิชาชีพของพนักงาน
- การตัดสินใจและการอนุมัติ: พิจารณาสถานการณ์ที่คุณจำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณโครงการหรือขยายกำหนดเวลา สิ่งเหล่านี้ต้องการตัดสินใจที่ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้จัดการเพราะส่งผลกระทบต่อทรัพยากรและกำหนดเวลา
- การทำความเข้าใจความคาดหวัง: หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่คาดหวังจากคุณในบทบาทหรือโครงการใหม่ เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนกับหัวหน้างาน ตัวอย่างเช่น คุณได้รับมอบหมายงานกว้างๆ โดยไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่การหารือกับหัวหน้างาน พวกเขาไม่เพียงแต่ได้รับคำอธิบายเกี่ยวกับความคาดหวัง แต่ยังได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการจัดการโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมายของทีม การสนทนานี้ช่วยป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นและเป็นพื้นฐานสำหรับการทำโครงการให้สำเร็จ
A Cup of Culture
────
วัฒนธรรมองค์กร
corporateculture
organizationalculture
.
.