ปรับตัวอย่างไรกับ Remote Work ในโลกหลังวิกฤติ

A Cup Of Culture, Blog, Leadership, Organizational Culture

เราเคยตื่นตัวกับคำว่า New Normal กันมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020 จนถึงมาถึงกลางปี 2021 นี้ New Normal ก็ได้กลายเป็นแค่ Now ไปแล้ว เมื่อแทบจะทุกองค์กรเริ่มชินกับการทำงานแบบ Remote Work กันแล้ว อาจต้องยอมรับกันว่าแม้จะหมดวิกฤตินี้ไปแล้ว Zoom และ Microsoft Team ก็จะยังคงอยู่กับเราไปอีกยาว

หลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาก็ได้เริ่มผ่อนปรนมาตรการในการควบคุมโรคระบาดแล้ว จนทำให้หลาย ๆ องค์กรต้องเริ่มวางแผนกันแล้วว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไร เพราะการศึกษาหลายที่ต่างชี้ไปในทางเดียวกันว่าพนักงานหลายคนยังคงต้องการความยืดหยุ่นจากการ Work from Anywhere อยู่

ดังนั้น การปรับตัวเข้าสู่โลกหลังวิกฤติในตอนนี้กลายเป็นเรื่องที่หลายองค์กรในสหรัฐอเมริกามองว่าอาจจะวางแผนยากกว่าตอนเข้าสู่วิกฤติเสียอีก และสำหรับผู้นำองค์กรที่กำลังจะต้องพาองค์กรของท่านออกจากวิกฤติแล้วนั้น เร็ว ๆ นี้ทางเพจ A Cup of Culture เราก็จะมาชวนทุกท่านมาวางแผนในระยะยาวกันดูว่าหลังจากนี้วัฒนธรรมองค์กรของท่านจะเป็นอย่างไรถึงจะสอดรับกับการทำงานในรูปแบบใหม่.แต่สำหรับวันนี้ ก่อนที่เราจะไปดูกันถึงเรื่องของวัฒนธรรมองค์กรนั้น เราต้องมาดูกันก่อนสักนิดหนึ่งว่าในระยะยาวแล้วองค์กรของเราควรที่จะมีระดับของการ Remote Work หรือ Hybrid Work มากน้อยแค่ไหนจะดี เพราะบางองค์กรอาจจะสามารถ Remote Work ล้วน ๆ ได้เลย หรือบางองค์กรอาจจะยังต้องเข้าออฟฟิศเป็นส่วนใหญ่ แต่คำถามคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าองค์กรของเราควรเป็นแบบไหน ?

เรามีบทความหนึ่งจาก Havard Business Review ที่ได้ให้แนวทางในการพิจารณาที่น่าสนใจเลยอยากที่จะนำมาแชร์กัน ดังนี้:

===========

1. รูปแบบการทำงานขององค์กร

องค์กรที่งานส่วนใหญ่สามารถทำได้ด้วยตัวเองจะเหมาะกับการ Remote Work เป็นพิเศษ ถึงกระนั้นงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือของทีมก็สามารถที่จะได้ทำได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องอาศัยความพยายามมากกว่าหน่อยในการทำให้มันเกิดขึ้น และแน่นอนว่าบางงานไม่สามารถที่จะทำให้เลยถ้าเป็นออนไลน์ แต่ยุคหลังมานี้ โดยเฉพาะเมื่อหลาย ๆ องค์กรปรับตัวได้ งานที่ไม่สามารถทำแบบออนไลน์ได้เลยนั้นมีน้อยกว่าที่หลายคนคิด ดังนั้นข้อนี้อาจจะเรื่องที่ไม่ต้องคิดมากสักเท่าไหร่

2. การ Onboarding

เพราะคนที่เพิ่งจะเลื่อนตำแหน่ง หรือพนักงานใหม่จะเป็นกลุ่มที่ควรที่จะมีช่วงให้พวกเขาได้เข้าออฟฟิศในช่วงแรก ๆ ก่อน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ได้เร็วขึ้น และเข้าใจสภาพแวดล้อมในออฟฟิศได้อย่างรวดเร็ว ในยุคช่วงวิกฤติหลายองค์กรอาจจะไม่มีทางเลือกสักเท่าไหร่ในการ Onboarding แต่ในอนาคตแม้องค์กรที่จะปรับตัวเป็น Remote Work เป็นส่วนใหญ่ อาจจะต้องคำนึงถึงการจัดกระบวนการ Onboading ให้กับทั้งพนักงานใหม่ และพนักงานที่เพิ่งถูกเลื่อนขั้นด้วย

3. ความชอบของตัวพนักงาน

เป็นประเด็นง่าย ๆ ที่หลาย ๆ ที่มองข้าม เพราะความต้องการ และความชอบของพนักงานก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในการทำงานแบบ Remote Work ของเรา เพราะทุก ๆ องค์กรนั้นมีความแตกต่าง รวมถึงตัวพนักงานเองด้วย หลายครั้งที่แม้องค์กรจะทำงานได้ดีในแบบ Remote แต่ด้วยความชอบส่วนตัวของพนักงานเราไม่เป็นทางนั้นก็อาจจะทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ล้มเหลวได้อยู่ดี ดังนั้นในการวางแผนระยาวเกี่ยวกับเรื่องของ Remote Work อย่าลืมสอบถามความคิดเห็นของพนักงาน

4. ค่าใช้จ่ายด้านสถานที่

ประเด็นสุดท้ายนี้อาจจะไม่ต้องขยายความเยอะ เพราะข้อได้เปรียบสำคัญของ Remote Work คือการช่วยลดค่าสถานที่ และค่าใช้จ่ายในการดูแล และเป็นประเด็นแรก ๆ ที่ต้องพิจารณาก่อนเสมอ

===========

โดยสรุปแล้ว ก่อนที่เราจะตัดสินใจวางแผนว่าองค์กรของเราจะใช้ Remote Work ในระดับไหนเราจะต้องพิจารณาว่าโดยพื้นฐานการทำงานของเราต้องมีการทำงานเป็นทีมเยอะแค่ไหน แล้วเราพร้อมหรือไม่ที่จะต้องออกแรงเพื่อให้การทำงานเป็นทีมยังคงมีประสิทธิภาพในรูปแบบ Remote Work รวมถึงวางแผนการ Onboard พนักงานใหม่ให้ดี ว่าจะช่วยให้เขาปรับตัวเข้ากับองค์กรได้อย่างไรในอนาคต รวมถึงอย่าลืมสอบถามความคิดเห็นของพนังงานท่านว่าชอบการทำงานแบบไหนมากกว่า พิจารณาองค์กรประกอบเหล่านี้ และชั่งน้ำหนักให้ดีว่าองค์กรของท่านจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือลดลง พิจารณาปัจจัยเหล่านี้ควบคู่ไปกับค่าใช้จ่ายที่จะอาจจะลดลงได้อย่างเห็นได้ชัดจากการไม่มีออฟฟิศ

สุดท้ายนี้ เมื่อเราผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปแล้วการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานหลังวิกฤติก็เป็นเรื่องที่ผู้นำหลายท่านต้องเริ่มพิจารณาตั้งแต่ตอนนี้แล้วว่าจะพัฒนารูปแบบการทำงานแบบ Remote Work หรือ Hybrid Work ต่อไปยังไงในอนาคต โดยต้องพิจารณาตั้งแต่นโยบายขององค์กร และรูปแบบการบริหารงานในการที่จะพาองค์กรเราสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ดังนั้นตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ดีที่ท่านจะเริ่มสร้างบทสนทนาร่วมไปกับพนักงานว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้อะไรกันไปแล้วบ้าง เพื่อนำประสบการณ์และความรู้เหล่านี้มาร่วมกันออกแบบชีวิตการทำงานที่ลงตัวกับทุกฝ่ายในอนาคต

A Cup of Culture
———–
#วัฒนธรรมองค์กร
#corporateculture
#culture

.
.
>>>>>