องค์กรยุคปัจจุบันประกอบด้วยคน 4 เจนเนอเรชั่น โดยกลุ่มคน Gen X และ Gen Y จะมีสัดส่วนมากที่สุด ในอีกมุมหนึ่งคนกลุ่ม Baby Boomers ก็เริ่มลดลงเพราะถึงช่วงวัยเกษียณ ในขณะที่น้องเล็กสุดอย่างคน Gen Z ก็เริ่มก้าวเท้าเข้าสู่โลกของการทำงานมากขึ้น ดังนั้น เมื่อมีในองค์กรมีคนทั้ง 4 เจนเนอเรชั่นอยู่รวมกัน ความยากอย่างหนึ่งในการพัฒนาบุคลากร คือ “แล้วจะจัด Training อย่างไร เมื่อช่วงวัยต่างกัน…?”
การศึกษาหลายชิ้นได้ยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า “คนแต่ละรุ่น มีค่านิยม มีแนวคิด และมีความชอบหรือสไตล์ในการเรียนแตกต่างกัน” ข้อมูลการศึกษาของ InvistaPerforms ได้แสดงชาร์จให้เราเห็นรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกันของแต่ละช่วงวัย ซึ่งเราสามารถใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นได้ (ตามภาพอินโฟกราฟฟิค)
ดังนั้น มายเซ็ตข้อแรกที่ผู้จัดเทรนนิ่งต้องมีคือ “คนแต่ละช่วงวัยมีภาพของสิ่งที่ตนเองต้องการและวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน” ฉะนั้น สิ่งที่เราคิดว่าดีแล้วกับคนกลุ่มนี้ ไม่ได้แปลว่าจะดีกับคนทุกกลุ่ม บทความของ Langevin Learning Service ได้นำเสนอ 4 เทคนิค ที่จะปรับจูนทุกคนมาอยู่ตรงกลาง และสามารถนำมาเป็นจุดตั้งต้นในการดีไซน์การเรียนรู้และจัดเทรนนิ่งได้ ดังนี้
(1) การวิเคราะห์ผู้เรียน
เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดก่อนเริ่มทำการออกแบบเทรนนิ่ง คือ การเข้าไปดูว่าผู้เรียนเป็นใคร มีความสนใจเรื่องอะไร จุดที่ควรพัฒนา-ปรับปรุงอยู่ตรงไหน และเป็นเรื่องอะไร รวมทั้งการลงลึกไปถึงความต้องการจำเป็น และปัญหา/ข้อจำกัด
(2) หาจุดเชื่อมโยง
ความสำคัญคือ การชี้ให้ผู้เรียนเห็นว่าความรู้และทักษะใหม่นี้จะเป็นประโยชน์กับพวกเขาอย่างไร และพวกเขาจะนำทักษะใหม่เหล่านี้ไปเชื่อมโยงกับการทำงานในปัจจุบันได้อย่างไร เมื่อทำแล้วจะได้ผลดีต่อตัวเขาอย่างไร / ต่อองค์กรอย่างไร
(3) เน้นการลงมือปฏิบัติ
คีย์สำคัญของการจัดเทรนนิ่งที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วมได้คือ การออกแบบที่เน้นการฝึกปฏิบัติของผู้เรียนเป็นหลัก เพราะมนุษย์เรียนรู้ได้ดีจากการลงมือทำ ฉะนั้น อย่าปล่อยให้การเทรนนิ่งเป็นการนั่งฟังข้อมูลอย่างเดียว ซึ่งหากอ้างอิงตาม ช่วงความสนใจหรือช่วงเวลาที่มีสมาธิ (Attention span) ของมนุษย์จะอยู่ที่ประมาณ 15 นาที ดังนั้น พยายามออกแบบกิจกรรมให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทุกๆ 15 นาที เช่น 15 นาทีแรกนั่งฟังบรรยาย 15 นาทีถัดไปชวนผู้เรียนลุกขึ้นยืนและเดินเข้ากลุ่มไประดมสมอง เป็นต้น
(4) มีรูปแบบที่หลากหลาย
กุญแจสำคัญในการดึงดูดผู้เรียน คือ การเลือกวิธีการสอนที่หลากหลาย ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการเลือกวิธีการนำเสนอและการประยุกต์ใช้จึงสำคัญมาก เช่น การมีสื่อภาพ วิดีโอ การได้ยิน และการได้เคลื่อนไหวร่างกาย รวมถึงการใช้กลยุทธ์แบบผสมผสานระหว่างการให้ข้อมูลแบบดั้งเดิม และการใช้อีเลิร์นนิงมาเสริมการเรียนรู้ วิธีนี้จะช่วยเชื่อมความต่างระหว่างรุ่นได้เป็นอย่างดี
บทสรุป – ข้อแนะนำหรือข้อมูลที่นำเสนอนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มันเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best practices) ที่รวมรวมมาจากวิธีการออกแบบการจัดเทรนนิ่ง เพื่อช่วยให้คุณสามารถเชื่อมโยงคนทุกช่วงวัยที่แตกต่างกันในองค์กร ให้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมต่อการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด
A Cup of Culture
———–
วัฒนธรรมองค์กร
CorporateCulture
OrganizationalCulture
.
.